สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญหายไปจากกรีซมาตั้งแต่ปลายสมัยเฮลลาดิค (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, หินปูน และ หินอ่อน ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่”[1]ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะสัมริดที่ใช้ในการตกแต่งรายละเอียด สถาปนิกใช้วัสดุดังกล่าวในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ ห้าประเภท: ศาสนสถาน, ที่ทำการราชการ, ที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ สถานที่เพื่อการบันเทิง
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Istana Negara Jalan Duta
งานสถาปัตยกรรม (architecture)
คือสิ่งก่อสร้างหรืออาคาร สิ่งที่ปลูกสร้างขึ้นมาโดยการออกแบบของมนุษย์ จากความสามารถทางศิลปะ การออกแบบ จัดวาง ทัศนศิลป์ และงานวิศวกรรมการก่อสร้าง เพื่อใช้งานให้เกิดประโยชน์ใช้สอย สถาปัตยกรรมยังเป็นสื่อความคิด เป็นสัญญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมอีกด้วยองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรม
จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยบทความ De Architectura ของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบ ได้กล่าวไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนหลักๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและสมดุล อันได้แก่
ความงาม (Venustas) หมายถึง สัดส่วนและองค์กระกอบ การจัดวางที่ว่าง และ สี,วัสดุและพื้นผิวของอาคาร ที่ผสมผสานลงตัว ที่ยกระดับจิตใจ ของผู้ได้ยลหรือเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นๆ
ความมั่นคงแข็งแรง (Firmitas)
และ ประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยชน์ และ การบรรลุประโยชน์แห่งเจตนา รวมถึงปรัชญาของสถานที่นั้นๆ
หมายรวมถึง อาคารหรือสิ่งก่อสร้าง รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสิ่งปลูกสร้างนั้น ที่มาจากการออกแบบของมนุษย์ ด้วยศาสตร์ทางด้านศิลปะ การจัดวางที่ว่าง ทัศนศิลป์ และวิศวกรรมการก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ใช้สอย สถาปัตยกรรมยังเป็นสื่อความคิด และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมในยุคนั้นๆอีกด้วย
Main Gate Istana Negara Jalan Duta Malaysia
ที่มา
http://wikipedia.com
visutgrc ช่องลมคอนกรีต คอนกรีตเสริมใยแก้ว
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
รูปแบบเสาโรมันแบบต่าง ๆ
เสาโรมันสถาปัตยกรรมคลาสสิค (Classical order)
เป็นรูปแบบลักษณะโดดเด่นโบราณของสถาปัตยกรรมคลาสสิค โดยแต่ละแบบสามารถแยกออกจากกันได้โดยรูปทรง ลักษณะของสัดส่วน และรายละเอียดต่าง ๆ ของลักษณะของเสาที่ใช้ โดยเริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยนักทฤษฎีสถาปัตยกรรมแบ่งแยกลำดับสถาปัตยกรรมคลาสสิคออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีลักษณะของเสาที่แตกต่างกันประกอบด้วยบัวปิดแนววงกบ (architrave), แถบตกแต่ง (frieze) และ บัวคอร์นิซ การอกกแบบและสร้างเสาแต่ละแบบก็ต่างกันออไปตั้งแต่เสาที่มีลักษณะอ้วนตันและปราศจากการตกแต่ง ไปจนเสาที่เพรียวและเต็มไปด้วยการตกแต่งอย่างงดงาม ที่แบ่งออกเป็น: ลำดับทัสคัน (โรมัน) และ ลำดับดอริค (กรีกและโรมัน); ลำดับไอโอนิค (กรีกและโรมัน); ลำดับโครินเธียน (กรีกและโรมัน) และ ลำดับคอมโพซิท (โรมัน)[1]
ในสมัยโบราณจะมีเพียง 3 ลำดับ ดอริค, ไอโอนิค และโครินเธียน ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวกรีก ต่อมาชาวโรมันก็เพิ่มเสาทัสคันซึ่งเป็นแบบที่เรียบง่ายกว่าดอริค และแบบคอมโพซิทซึ่งมีการตกแต่งมากกว่าโครินเธียน คอลัมน์แบ่งออกเป็นสามส่วน: ลำตัวเสา (shaft), ฐานล่าง และ หัวเสา สิ่งก่อสร้างคลาสสิคจะมีองค์ประกอบตามแนวนอนที่รองรับด้วยเสาที่เป็นคานที่เรียกว่า “entablature” ที่แบ่งออกเป็นสามส่วน: บัวล่าง (architrave), แถบลายตกแต่ง (frieze) และ บัวคอร์นิซ ความแตกต่างของลำดับสถาปัตยกรรมคลาสสิคทราบได้จากลักษณะของหัวเสาที่ใช้ที่จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เสาทั้งต้นและคานประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ตั้งแต่ “ฐานใต้เสา” (stylobate) ซึ่งเป็นแป้นแบนที่เป็นที่ตั้งของเสา บน “ฐานพลินธ์” (plinth) ซึ่งอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมก็ได้ซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของฐาน ส่วนที่เหลือก็อาจจะตกแต่งด้วยบัว เช่นบัวนูน (torus) หรือ บัวเว้า (scotia) ที่แยกจากกันด้วยแถบ (fillet หรือ band)
บนฐานก็จะเป็น “ลำเสา” (shaft) ที่ตั้งตามแนวดิ่ง ที่จะมีลักษณะเป็นแท่งกลมทั้งยาวและเพรียว ลำเสาบางทีก็จะมีการบากตกแต่งเป็นร่องตามแนวดิ่ง (fluting) ลำเสาตอนล่างจะใหญ่กว่าตอนบน ความแคบลงจะเริ่มตั้งแต่ขึ้นไปได้ราวหนึ่งในสามของเสา ที่ทำให้เสาดูเพรียวขึ้นกว่าความเป็นจริง
“หัวเสา” (capital) จะตั้งอยู่บน “ลำเสา” ที่มีหน้าที่รับน้ำหนักที่กระจายลงมาบนคานลงมยังลำเสา แต่โดยทั่วไปแล้วหัวเสาจะเป็นสิ่งตกแต่งเพื่อความงดงาม หัวเสาที่ง่ายที่สุดคือหัวเสาดอริคที่แบ่งออกเป็นสามส่วน “คอเสา” (necking) คือส่วนที่ต่อจากลำเสา แต่แยกด้วย “บัวเอชินัส” (echinus) อยู่เหนือคอเสาที่เป็นแป้นกลมที่โป่งออกมาไปเพื่อไปรับกับ “แป้นหัวเสา” (Abacus) ที่อาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมก็ได้ที่รองรับคาน ที่มา วิกิพิเดีย
1. Doric Order เป็นเสาโรมันแบบที่เรียบง่าย มั่นคงแข็งแรง เป็นแบบแพร่หลายมากที่สุดและเก่าแก่ที่สุด วิหารที่งามที่สุดของกรีกมักเป็นหัวเสาโรมันแบบนี้ เนื่องจากชาวกรีกนิยม ความเรียบง่าย ลักษณะของเสาส่วนล่างจะใหญ่แล้วเรียวขึ้นเล็กน้อย ตามเสาจะแกะเป็นร่องลึกเว้า (Flute) ๒๐ ร่อง ตอนบนของเสาจะมีคิ้วที่โค้งออกมา ( Echinus) รองรับแผ่นหินสี่เหลี่ยม ( Abacus) ต่อจากนั้นจึงเป็นโครงสร้างของจั่ว
2. Ionic Order เป็นแบบที่ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยนุ่มนวล มีลักษณะเรียบกว่าดอริค ตอนบนและตอนล่างของเสามีขนาดเท่ากัน มีร่องเว้า ๒๐ ร่อง แต่ระหว่างร่องมีแถบเรียง (Filler) คั่นแต่ละร่องเว้า ตอนบนของเสาแกะสลักเป็นรูปก้นหอย ( Volute) ส่วนบนจะมีแผ่น หินสี่เหลี่ยม ( Abacus) คั่นไว้ เสาแบบไอโอนิคนี้มีขนาดเล็กกว่าเสาแบบดอริค และนิยมสร้างฐาน ( Base) ทำให้เสามีรูปทรงระหงมากขึ้นซึ่งต่างจากเสาแบบดอริคที่ไม่นิยมสร้างฐานรองรับ
3. Corinthian Order ให้ความรู้สึกหรูหรา ฟุ่มเฟือย นิยมนำมาเป็นแบบอย่างใน สมัยโรมัน ลักษณะหัวเสามีการตกแต่งโดยแกะเป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ โดยดัดแปลงมาจากใบอาคันธัส (Acanthus) รูปร่างคล้ายผักกาด ทำเป็นใบซ้อนกันสองชั้น แล้วแต่งด้วยดอกไม้ ส่วนล่างของเสามีฐานรองรับแบบเดียวกับไอโอนิค เป็นเสาโรมันที่มีความงดงามมาก
เป็นรูปแบบลักษณะโดดเด่นโบราณของสถาปัตยกรรมคลาสสิค โดยแต่ละแบบสามารถแยกออกจากกันได้โดยรูปทรง ลักษณะของสัดส่วน และรายละเอียดต่าง ๆ ของลักษณะของเสาที่ใช้ โดยเริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยนักทฤษฎีสถาปัตยกรรมแบ่งแยกลำดับสถาปัตยกรรมคลาสสิคออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีลักษณะของเสาที่แตกต่างกันประกอบด้วยบัวปิดแนววงกบ (architrave), แถบตกแต่ง (frieze) และ บัวคอร์นิซ การอกกแบบและสร้างเสาแต่ละแบบก็ต่างกันออไปตั้งแต่เสาที่มีลักษณะอ้วนตันและปราศจากการตกแต่ง ไปจนเสาที่เพรียวและเต็มไปด้วยการตกแต่งอย่างงดงาม ที่แบ่งออกเป็น: ลำดับทัสคัน (โรมัน) และ ลำดับดอริค (กรีกและโรมัน); ลำดับไอโอนิค (กรีกและโรมัน); ลำดับโครินเธียน (กรีกและโรมัน) และ ลำดับคอมโพซิท (โรมัน)[1]
ในสมัยโบราณจะมีเพียง 3 ลำดับ ดอริค, ไอโอนิค และโครินเธียน ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวกรีก ต่อมาชาวโรมันก็เพิ่มเสาทัสคันซึ่งเป็นแบบที่เรียบง่ายกว่าดอริค และแบบคอมโพซิทซึ่งมีการตกแต่งมากกว่าโครินเธียน คอลัมน์แบ่งออกเป็นสามส่วน: ลำตัวเสา (shaft), ฐานล่าง และ หัวเสา สิ่งก่อสร้างคลาสสิคจะมีองค์ประกอบตามแนวนอนที่รองรับด้วยเสาที่เป็นคานที่เรียกว่า “entablature” ที่แบ่งออกเป็นสามส่วน: บัวล่าง (architrave), แถบลายตกแต่ง (frieze) และ บัวคอร์นิซ ความแตกต่างของลำดับสถาปัตยกรรมคลาสสิคทราบได้จากลักษณะของหัวเสาที่ใช้ที่จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เสาทั้งต้นและคานประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ตั้งแต่ “ฐานใต้เสา” (stylobate) ซึ่งเป็นแป้นแบนที่เป็นที่ตั้งของเสา บน “ฐานพลินธ์” (plinth) ซึ่งอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมก็ได้ซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของฐาน ส่วนที่เหลือก็อาจจะตกแต่งด้วยบัว เช่นบัวนูน (torus) หรือ บัวเว้า (scotia) ที่แยกจากกันด้วยแถบ (fillet หรือ band)
บนฐานก็จะเป็น “ลำเสา” (shaft) ที่ตั้งตามแนวดิ่ง ที่จะมีลักษณะเป็นแท่งกลมทั้งยาวและเพรียว ลำเสาบางทีก็จะมีการบากตกแต่งเป็นร่องตามแนวดิ่ง (fluting) ลำเสาตอนล่างจะใหญ่กว่าตอนบน ความแคบลงจะเริ่มตั้งแต่ขึ้นไปได้ราวหนึ่งในสามของเสา ที่ทำให้เสาดูเพรียวขึ้นกว่าความเป็นจริง
“หัวเสา” (capital) จะตั้งอยู่บน “ลำเสา” ที่มีหน้าที่รับน้ำหนักที่กระจายลงมาบนคานลงมยังลำเสา แต่โดยทั่วไปแล้วหัวเสาจะเป็นสิ่งตกแต่งเพื่อความงดงาม หัวเสาที่ง่ายที่สุดคือหัวเสาดอริคที่แบ่งออกเป็นสามส่วน “คอเสา” (necking) คือส่วนที่ต่อจากลำเสา แต่แยกด้วย “บัวเอชินัส” (echinus) อยู่เหนือคอเสาที่เป็นแป้นกลมที่โป่งออกมาไปเพื่อไปรับกับ “แป้นหัวเสา” (Abacus) ที่อาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมก็ได้ที่รองรับคาน ที่มา วิกิพิเดีย
1. Doric Order เป็นเสาโรมันแบบที่เรียบง่าย มั่นคงแข็งแรง เป็นแบบแพร่หลายมากที่สุดและเก่าแก่ที่สุด วิหารที่งามที่สุดของกรีกมักเป็นหัวเสาโรมันแบบนี้ เนื่องจากชาวกรีกนิยม ความเรียบง่าย ลักษณะของเสาส่วนล่างจะใหญ่แล้วเรียวขึ้นเล็กน้อย ตามเสาจะแกะเป็นร่องลึกเว้า (Flute) ๒๐ ร่อง ตอนบนของเสาจะมีคิ้วที่โค้งออกมา ( Echinus) รองรับแผ่นหินสี่เหลี่ยม ( Abacus) ต่อจากนั้นจึงเป็นโครงสร้างของจั่ว
2. Ionic Order เป็นแบบที่ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยนุ่มนวล มีลักษณะเรียบกว่าดอริค ตอนบนและตอนล่างของเสามีขนาดเท่ากัน มีร่องเว้า ๒๐ ร่อง แต่ระหว่างร่องมีแถบเรียง (Filler) คั่นแต่ละร่องเว้า ตอนบนของเสาแกะสลักเป็นรูปก้นหอย ( Volute) ส่วนบนจะมีแผ่น หินสี่เหลี่ยม ( Abacus) คั่นไว้ เสาแบบไอโอนิคนี้มีขนาดเล็กกว่าเสาแบบดอริค และนิยมสร้างฐาน ( Base) ทำให้เสามีรูปทรงระหงมากขึ้นซึ่งต่างจากเสาแบบดอริคที่ไม่นิยมสร้างฐานรองรับ
3. Corinthian Order ให้ความรู้สึกหรูหรา ฟุ่มเฟือย นิยมนำมาเป็นแบบอย่างใน สมัยโรมัน ลักษณะหัวเสามีการตกแต่งโดยแกะเป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ โดยดัดแปลงมาจากใบอาคันธัส (Acanthus) รูปร่างคล้ายผักกาด ทำเป็นใบซ้อนกันสองชั้น แล้วแต่งด้วยดอกไม้ ส่วนล่างของเสามีฐานรองรับแบบเดียวกับไอโอนิค เป็นเสาโรมันที่มีความงดงามมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)