เป็นรูปแบบลักษณะโดดเด่นโบราณของสถาปัตยกรรมคลาสสิค โดยแต่ละแบบสามารถแยกออกจากกันได้โดยรูปทรง ลักษณะของสัดส่วน และรายละเอียดต่าง ๆ ของลักษณะของเสาที่ใช้ โดยเริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยนักทฤษฎีสถาปัตยกรรมแบ่งแยกลำดับสถาปัตยกรรมคลาสสิคออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีลักษณะของเสาที่แตกต่างกันประกอบด้วยบัวปิดแนววงกบ (architrave), แถบตกแต่ง (frieze) และ บัวคอร์นิซ การอกกแบบและสร้างเสาแต่ละแบบก็ต่างกันออไปตั้งแต่เสาที่มีลักษณะอ้วนตันและปราศจากการตกแต่ง ไปจนเสาที่เพรียวและเต็มไปด้วยการตกแต่งอย่างงดงาม ที่แบ่งออกเป็น: ลำดับทัสคัน (โรมัน) และ ลำดับดอริค (กรีกและโรมัน); ลำดับไอโอนิค (กรีกและโรมัน); ลำดับโครินเธียน (กรีกและโรมัน) และ ลำดับคอมโพซิท (โรมัน)[1]
ในสมัยโบราณจะมีเพียง 3 ลำดับ ดอริค, ไอโอนิค และโครินเธียน ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวกรีก ต่อมาชาวโรมันก็เพิ่มเสาทัสคันซึ่งเป็นแบบที่เรียบง่ายกว่าดอริค และแบบคอมโพซิทซึ่งมีการตกแต่งมากกว่าโครินเธียน คอลัมน์แบ่งออกเป็นสามส่วน: ลำตัวเสา (shaft), ฐานล่าง และ หัวเสา สิ่งก่อสร้างคลาสสิคจะมีองค์ประกอบตามแนวนอนที่รองรับด้วยเสาที่เป็นคานที่เรียกว่า “entablature” ที่แบ่งออกเป็นสามส่วน: บัวล่าง (architrave), แถบลายตกแต่ง (frieze) และ บัวคอร์นิซ ความแตกต่างของลำดับสถาปัตยกรรมคลาสสิคทราบได้จากลักษณะของหัวเสาที่ใช้ที่จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เสาทั้งต้นและคานประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ตั้งแต่ “ฐานใต้เสา” (stylobate) ซึ่งเป็นแป้นแบนที่เป็นที่ตั้งของเสา บน “ฐานพลินธ์” (plinth) ซึ่งอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมก็ได้ซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของฐาน ส่วนที่เหลือก็อาจจะตกแต่งด้วยบัว เช่นบัวนูน (torus) หรือ บัวเว้า (scotia) ที่แยกจากกันด้วยแถบ (fillet หรือ band)
บนฐานก็จะเป็น “ลำเสา” (shaft) ที่ตั้งตามแนวดิ่ง ที่จะมีลักษณะเป็นแท่งกลมทั้งยาวและเพรียว ลำเสาบางทีก็จะมีการบากตกแต่งเป็นร่องตามแนวดิ่ง (fluting) ลำเสาตอนล่างจะใหญ่กว่าตอนบน ความแคบลงจะเริ่มตั้งแต่ขึ้นไปได้ราวหนึ่งในสามของเสา ที่ทำให้เสาดูเพรียวขึ้นกว่าความเป็นจริง
“หัวเสา” (capital) จะตั้งอยู่บน “ลำเสา” ที่มีหน้าที่รับน้ำหนักที่กระจายลงมาบนคานลงมยังลำเสา แต่โดยทั่วไปแล้วหัวเสาจะเป็นสิ่งตกแต่งเพื่อความงดงาม หัวเสาที่ง่ายที่สุดคือหัวเสาดอริคที่แบ่งออกเป็นสามส่วน “คอเสา” (necking) คือส่วนที่ต่อจากลำเสา แต่แยกด้วย “บัวเอชินัส” (echinus) อยู่เหนือคอเสาที่เป็นแป้นกลมที่โป่งออกมาไปเพื่อไปรับกับ “แป้นหัวเสา” (Abacus) ที่อาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมก็ได้ที่รองรับคาน ที่มา วิกิพิเดีย
1. Doric Order เป็นเสาโรมันแบบที่เรียบง่าย มั่นคงแข็งแรง เป็นแบบแพร่หลายมากที่สุดและเก่าแก่ที่สุด วิหารที่งามที่สุดของกรีกมักเป็นหัวเสาโรมันแบบนี้ เนื่องจากชาวกรีกนิยม ความเรียบง่าย ลักษณะของเสาส่วนล่างจะใหญ่แล้วเรียวขึ้นเล็กน้อย ตามเสาจะแกะเป็นร่องลึกเว้า (Flute) ๒๐ ร่อง ตอนบนของเสาจะมีคิ้วที่โค้งออกมา ( Echinus) รองรับแผ่นหินสี่เหลี่ยม ( Abacus) ต่อจากนั้นจึงเป็นโครงสร้างของจั่ว
2. Ionic Order เป็นแบบที่ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยนุ่มนวล มีลักษณะเรียบกว่าดอริค ตอนบนและตอนล่างของเสามีขนาดเท่ากัน มีร่องเว้า ๒๐ ร่อง แต่ระหว่างร่องมีแถบเรียง (Filler) คั่นแต่ละร่องเว้า ตอนบนของเสาแกะสลักเป็นรูปก้นหอย ( Volute) ส่วนบนจะมีแผ่น หินสี่เหลี่ยม ( Abacus) คั่นไว้ เสาแบบไอโอนิคนี้มีขนาดเล็กกว่าเสาแบบดอริค และนิยมสร้างฐาน ( Base) ทำให้เสามีรูปทรงระหงมากขึ้นซึ่งต่างจากเสาแบบดอริคที่ไม่นิยมสร้างฐานรองรับ
3. Corinthian Order ให้ความรู้สึกหรูหรา ฟุ่มเฟือย นิยมนำมาเป็นแบบอย่างใน สมัยโรมัน ลักษณะหัวเสามีการตกแต่งโดยแกะเป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ โดยดัดแปลงมาจากใบอาคันธัส (Acanthus) รูปร่างคล้ายผักกาด ทำเป็นใบซ้อนกันสองชั้น แล้วแต่งด้วยดอกไม้ ส่วนล่างของเสามีฐานรองรับแบบเดียวกับไอโอนิค เป็นเสาโรมันที่มีความงดงามมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น